วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เมื่อเงินซื้อบ้านกลายเป็นเงินลงทุนคู่กันได้


        เมื่อสรุปเนื่อหาจากบทความ "ซื้อบ้าน คือ การลงทุน?" และผนวกความคิดเห็นแนวเงินเงินและเงินของผมแล้วจะได้ความว่าการทำเงินจากการซื้อบ้านนั้นแบ่งรายได้ออกเป็นสองส่วนคือ
1   ช่วงที่ถือครองอยู่ต้องได้รับเงินจากค่าเช่าบ้าน (ถ้าท่านอยู่เองท่านคือคนที่จ่ายค่าเช่าให้ตัวเองอยู่ไง คริๆ)
โดยเทียบรายได้จากค่าเช่าบ้านกับ เงินดอกเบี้ยจากการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตร ว่าได้มากกว่าหรือไม่ เมื่อหักค่าใช้จ่ายออกไปเช่น ภาษี หรือค่างวดจากธนาคารในกรณีที่กู้เงินจากธนาคารซื้อ(เพราะลงทุนในบ้านเนี่ยความเสี่ยงต่ำยกเว้นว่าท่านซื้อมาแพงกว่าราคาประเมิน มากมาย)
การได้รายได้จากการขายบ้าน
ราคาอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นวัฏจักร มีขึ้นลงตลอดเวลา ตามความต้องการซื้อบ้านและปริมาณของบ้านที่มีออกมาขาย ถ้าเราจับจังหวะได้ ซื้อตอนที่ราคาถูกแล้วรอเพื่อมาขายตอนที่ราคาแพงขึ้นก็ได้  แต่ต้องระวังในการจับจังหวะและการดูทำเล รวมถึงการซื้อเพื่ออยู่และขายออกเมื่อต้องการย้ายหรือขายบ้านด้วยนะครับ
                ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าการใช้เงินซื้อบ้านเป็นสิ่งที่ดีแต่อยากให้ทุกท่านมองการซื้อบ้านเป็นการลงทุนไปในตัว  คือ เลือกซื้อบ้านด้วยราคาที่เหมาะสม ถ้าได้ราคาถูกจะดีมา และเลือกในทำเลทีดีดูได้จากว่าเมื่อเวลาผ่านไปราคาของบ้านจะขึ้นไปด้วย รวมถึงเมื่อเราไม่อยู่เองก็สามารถหาคนมาเช่าได้ง่านและได้ค่าเช่าในราคาที่เหมาะสม  ด้วย ไม่ใช่ว่าตั้งป้ายให้เช่ามาเป็นไป เมื่อมีคนมาขอเช่าก็ต่อค่าเช่าเหลือครึ่งเดียวซะงั้น  คริๆ  โชคดีมีเงินใช้ ไม่เป็นหนี้ครับ   เงิน เงิน และเงิน

 

บทความ......ซื้อบ้าน คือ การลงทุน?

 

ร่วมหาคำตอบ "ซื้อบ้าน คือ การลงทุน" หรือไม่ และร่วมแชร์ไอเดียวร่วมกันว่า ซื้อบ้านเป็นการลงทุนจริงหรือ
 บ้านนับเป็นหนึ่งในสี่ที่จำเป็น ต่อการดำรงชีวิตที่แพงที่สุด การซื้อเพราะยังไม่มีบ้าน ซื้อเพราะต้องแต่งงานแยกครอบครัว ซื้อเพราะครอบครัวใหญ่ขึ้น ซื้อเพราะย้ายที่ทำงาน ซื้อเพราะรถติดไม่อยากเดินทางไปทำงานไกล ซื้อไว้หลบบ้านใหญ่ ซื้อไว้ให้บ้านเล็ก ฯลฯ เหล่านี้นับเป็นเหตุผลการซื้อบ้านที่หลายท่านก็เข้าใจอยู่แล้ว ไม่ต้องบรรยายกัน แต่นอกจากเหตุผลที่ว่าแล้วควรจะมีเหตุผลอะไรอีก?
ผู้คนจำนวนหนึ่งที่มองการซื้อบ้านเป็น "การลงทุน" ประเภทหนึ่ง รวมไปถึงการเก็งกำไร ถ้าเป็นกรณีนี้ก็จะต้องพิจารณากันมากเป็นพิเศษ ต้องกะเก็งกันว่า แถวไหนให้ผลตอบแทนดี และต่อไปราคาจะขึ้นมากมั้ย เป็นประเด็นสำคัญในการลงทุน กล่าวคือ ในการลงทุนบ้านหรือในอสังหาริมทรัพย์จะต้องพิจารณาผลตอบแทน 2 ส่วน ดังนี้ครับ
1. ผลตอบแทนในช่วงที่เราถือครอง
พิจารณาจาก "ค่าเช่าสุทธิ" ที่ได้รับต่อปี ซึ่งไม่ควรต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารหรือดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาล ไม่งั้นก็ไปฝากเงินแบงก์หรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลดีกว่า อันนี้ฝรั่งมันเรียกว่า Return on Investment ครับ
ยกตัวอย่างเช่น ซื้อบ้านหลังหนึ่งมาในราคา 1,000,000 บาท แล้วต้องสำรวจดูว่าปล่อยให้เช่าได้เท่าใด สมมติเดือนละ 10,000 บาท ปีหนึ่งก็ได้เต็มที่ 120,000 บาท แต่ถ้าหักช่วงที่บ้านไม่มีคนเช่าบ้างสัก 1-2 เดือน (ตามรายงานการสำรวจวิจัยต่าง ๆ เขาเรียกว่า อัตราว่าง หรือ Vacancy Rate อันนี้อย่าหาว่าผมกระแดะนะครับ เพราะบางทีอาจจำเป็นต้องศึกษาจากรายงานเหล่านั้นในเว็บไซด์ต่างๆ เพราะถ้าเราสำรวจเองอาจไม่ทราบตัวเลขต่างๆ ก็ได้)
และยังต้องหักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าดำเนินการ ภาษี (ช่วยจ่ายกันเถอะครับพี่น้อง ช่วยสร้างทัศนคติให้เด็กรุ่นหลังมัน เราก็สอนได้ลูกหลานเราแหละครับ อย่าไปหวังจากคนอื่น บางคนก็คงต้องให้หมดเผ่าพันธุ์ไปเอง เพราะพ่อมันไม่สอนลูก ลูกมันก็คงไม่สอนหลาน)
ดังนั้น หากหักค่าใช้จ่ายด้วยคงเหลือสุทธิสัก 80,000 บาท ก็เทียบกับเงินซื้อมาได้ผลตอบแทน 8% ต่อปี (80,000 บาท เทียบกับ 1,000,000 บาท) ก็ไปเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากหรือพันธบัตรรัฐบาลดู แต่บางคนเขาก็ไปเทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้ครับ เพราะบางทีไปกู้เงินมาซื้อดอกเบี้ยแค่ 4-5% แต่ค่าเช่าได้ถึง 8% อย่างว่า ก็เลยมีคนไปกู้แบงก์แล้วปล่อยเช่า แล้วยังมีเงินเหลืออีก และที่สำคัญยังมีส่วนต่างเมื่อขายอีก ดูข้อ 2 ครับ 
2. ผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาอสังหาริมทรัพย์เมื่อขายเทียบกับราคาซื้อมา
อันนี้ฝรั่งมันเรียกว่า Return of Investment ครับ ยกตัวอย่างหากซื้อบ้านมาในราคา 1,000,000 บาท และในอีก 5 ปีข้างหน้า ขายต่อได้ 1,500,000 บาท ก็จะทำกำไรได้อีก เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องคาดการณ์อนาคต ถึงแนวโน้มของราคาอสังหาริมทรัพย์หรือวัฎจักรอสังหาริมทรัพย์ (Property Cycle) ว่าบ้านประเภทใด ระดับราคาใด ทำเลใด จะมีแนวโน้มดี แถวไหนจะรุ่ง แถวไหนจะริ่ง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ราคาขึ้นได้มากน้อย
หลักการง่ายๆ ของการลงทุน หรือการเก็งกำไร ก็คือ ต้องซื้อให้ถูก และขายแพง ซึ่งทุกคนทราบดี แต่เมื่อไรจะราคาถูก (และควรซื้อไว้) เมื่อไรราคาแพง (และควรขายทำกำไร) เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องศึกษาภาวะตลาดและคาดการณ์ถึงแนวโน้มในอนาคตว่าจะรุ่ง หรือริ่งครับ (เสียดายที่วันนี้คงไม่ได้มีโอกาสพูดถึง Property Cycle) ไม่ใช่ไปซื้อในขณะที่ราคาแพงแล้วเอาไว้ขายตอนราคาถูก (อันนี้เรียกว่าแมงเม่า”) ยกตัวอย่างตามแผนภูมิครับ
โดยหลักแล้วการซื้อเพื่อการลงทุนมักจะซื้อในช่วงที่ราคาตกต่ำ ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ เช่น นักลงทุนต่างชาติ แห่มาซื้อทรัพย์สินในบ้านเราในช่วงนั้นกันมาก และนำมาขายต่อทำกำไรในช่วงเศรษฐกิจดี สมัยท่านอดีตนายกทักษิณฯ ช่วงปี 2545-2547 ซึ่งราคาเพิ่มขึ้นมาก เป็นต้น
ขณะเดียวกันการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เศรษฐกิจ บูมไม่ใช่ว่าจะซื้อไม่ได้นะครับ โดยเฉพาะหากเราซื้อในราคาถูก (ต่ำกว่าราคาตลาด) เช่น ทรัพย์ธนาคารฯ ช่วงลดราคา ถ้าพิจารณาในแง่การลงทุนแล้วเราก็สามารถซื้อได้ทำกำไรได้
เช่น บ้านหลังหนึ่ง ราคาตลาดควรเป็น 1,000,000 บาท แต่เจ้าของบอกขายเพียง 700,000 บาท และหากเราเทียบว่าเงิน 700,000 บาทที่อยู่ในธนาคารฯ ฝากธนาคารไว้ 5 ปี ถ้าอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5% ก็จะเป็นเงินเพียง 893,397 บาท แต่ถ้าหากเราซื้อบ้านคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ราคาตลาดจะเพิ่มเป็น 1,200,000 บาท กรณีนี้เราก็ควรจะซื้อ เพราะได้ผลตอบแทนมากกว่าฝากธนาคารมาก เป็นต้น
การเพิ่มขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเหตุผลสำคัญที่นักลงทุนจำนวนมากชอบลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพราะที่ผ่านมาในบ้านเราส่วนใหญ่แล้วราคาอสังหาริมทรัพย์มีแต่ขึ้นกับขึ้น เว้นแต่ในช่วงวิกฤติปี 2540-2542 ที่ราคาตกลง
แต่จริงๆ เป็นเพราะว่าเราทำตัวเองแทนที่จะปล่อยให้มีการเพิ่มขึ้นไปตามธรรมชาติจาก ความต้องการใช้ที่แท้จริง แต่เรากลับมีการเก็งกำไรกันมากเกินไป ซึ่งการเก็งกำไรไม่ใช่ความต้องการที่จะใช้จริง เลยทำให้เกิดปัญหาราคาสูงเกินจริงไปช่วงปี 2537-2539 ดังนั้นถ้ามันจะตกลงมาบ้างก็เพราะฝีมือเรานั่นแหละ
ผมอยากให้ท่านที่คิดว่าจะซื้อบ้านในกรณีทั่วไปข้างต้น ลองพิจารณาในมุมของการลงทุนด้วย เนื่องจากว่าแท้จริงแล้วนี่คือการลงทุนครั้งสำคัญในชีวิต เพราะว่าถ้าต้องกู้เงินกว่าจะผ่อนบ้านหมดอาจต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนชีวิต ทีเดียว และยังเป็นมรดกตกทอดไปยังลูกหลานอีกในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีมุมมองอีกด้านหนึ่งที่ฝากไว้คิดกันเล่น ๆ ครับ คือว่า คนจีนมักสอนลูกหลานว่าให้ลงทุนค้าขายหรือยุคนี้เรียกว่าทำธุรกิจก่อน ให้รวยก่อนแล้วบ้านซื้อทีหลังก็ยังได้ ในขณะที่คนไทยเรามักสอนลูกหลานให้ซื้อบ้านก่อนเพราะท่านเห็นว่าเป็นการสร้าง ความความมั่นคงให้กับชีวิต
แต่การซื้อบ้านก็อาจจะทำให้สรรพกำลังทั้งหมดทุ่มกับการผ่อนบ้านซึ่งอาจ ใช้เวลานาน 10, 20, 30 ปี กว่าจะผ่อนบ้านหมดก็   "หมดไฟ" ที่จะคิดไปทำธุรกิจหรือการลงทุนเสียแล้ว ดังนั้นการเลือกซื้อบ้าน.. ผมถึงอยากให้ทุกท่านมองการซื้อบ้านเป็นการลงทุนไปในตัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น